รีวิวหนัง The Desperate Hour
อย่างไรก็ตาม ถ้าใครชอบหนังที่เล่าเรื่องระทึกขวัญผ่านหน้าจอ อย่างเช่น ‘Unfriended’ (2014) และ ‘Host’ (2020) และหนังเอาตัวรอดแบบเรียลไทม์อย่าง ‘Buried’ (2010) มาในปีนี้ ผู้กำกับอย่าง ‘ฟิลลิป นอยซ์’ (Phillip Noyce) ผู้กำกับหนังสายลับ ‘Salt’ (2010) ที่มาพร้อมกับผลงานภาพยนตร์สุดระทึกที่ถ่ายทำด้วยโปรดักชันที่เอื้อต่อการถ่ายทำในช่วงโรคระบาด ดูได้ที่ ดูหนัง
โดยที่หนังเรื่องนี้ที่เคยมีชื่อเดิมว่า ‘Lakewood’ ยังได้มีโอกาสได้รับคัดเลือกให้ฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังโตรอนโต (Toronto International Film Festival – TIFF) เมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะเปลี่ยนชื่อ (ให้ขายได้) เป็น ‘The Desperate Hour’ หรือ ‘ฝ่าวิกฤต วิ่งหนีตาย’ นั่นแหละครับ
ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของเรื่องราวของพนักงานเจ้าหน้าที่สรรพากร ‘เอมี คาร์’ (Naomi Watts) และคุณแม่ลูกสอง ที่สูญเสียสามีและพ่อของลูกด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เกือบจะครบหนึ่งปี วันหนึ่งเอมีได้เข้าไปวิ่งจ็อกกิงออกกำลังกายในป่าลึก
แต่แล้วเธอก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายว่า เกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ ‘โนอาร์’ (Colton Gobbo) ลูกชายคนโต และ ‘เอมิลี’ (Sierra Maltby) เรียนอยู่ เอมีจึงต้องออกวิ่งไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลจากป่าหลายไมล์ เพื่อหวังจะช่วยเหลือลูก ๆ ของเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของมือปืนที่อาจก่อเหตุได้ทุกเมื่อ โดยมีโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่จะช่วยให้เธอคลี่คลายเหตุสุดระทึกนี้ไปได้
ซึ่งตัวหนังตลอดเกือบ ๆ 84 นาที เราก็จะได้เห็นขุ่นแม่ ‘เอมี คาร์’ อยู่ในป่าลึกโดยที่แทบจะไม่ตัดไปซีนอื่นเลย เธอต้องพยายามวิ่งเดินทางออกจากป่าเลกวูด (Lakewood) เพื่อไปช่วยเหลือลูกชาย และมีโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวในการเอาตัวรอด รับรู้สถานการณ์
และรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในโรงเรียน ตัวหนังในส่วนนี้ก็เลยจะเล่าเสมือนว่าคนดูก็กำลังอยู่ในป่าไปพร้อมกัน และค่อย ๆ ปะติดปะต่อข้อมูลชที่เอมีได้จากการพยายามโทรศัพท์ แชต และสืบค้นหาข้อมูล พร้อมกับความกดดันที่ทวีเพิ่มขึ้นแบบเรียลไทม์
เอาจริง ๆ หนังเรื่องนี้ก็มีความคล้าย ๆ กับหนังเรื่อง ‘The Call’ (2013) ที่ใช้โทรศัพท์เป็นตัวกลางในการเอาตัวรอดจากการโดนลักพาตัวนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้ใจกล้ากว่ามากที่พยายามจะเล่นกับเทคนิคในการนำเสนอผ่านการใช้โทรศัพท์ของเอมี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
แต่ก็จะต้องค้นหาให้ได้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง และค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับเหตุกราดยิง โดยที่แทบจะไม่ตัดให้เห็นเหตุการณ์นอกป่า หรือเหตุการณ์ในโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็จะมาในรูปแบบเสียงหรือข้อความซะเป็นส่วนใหญ่
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นหนังที่มีพล็อตและเข้าใจพล็อตเป็นอย่างดีนะครับ ซึ่ง ‘คริส สปาร์กลิง’ (Chris Sparling) ที่เคยเขียนบทหนังเอาตัวรอด ‘Buried’ (2010) มาก่อน สามารถวางพล็อต และเพิ่มระดับความกดดันในการเอาตัวรอดของเอมีกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่องได้อย่างน่าสนใจ
และมีวิธีการเล่าเรื่องแบบผ่อนหนักผ่อนเบา คือเรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่อง เราก็จะได้เห็นเอมีลงไปวิ่งในป่ากันตั้งแต่เนิ่น ๆ และค่อย ๆ ผ่อนการเล่าเรื่องให้ช้าลง สลับกับการเร่งจังหวะในช่วงเหตุการณ์ที่พีกขึ้นได้อย่างน่าติดตาม
อีกจุดที่ถือว่าทำได้ออกมาสนุกก็คือ การประยุกต์ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ในโทรศัพท์ออกมาเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจครับ เราจะได้เห็นเอมีค่อย ๆ เอาตัวรอดจากป่า และค่อย ๆ เอาชนะ Conflict ทีละปม ๆ ด้วยการใช้โทรศัพท์ iPhone โทรหาคนนั้นคนนี้ แชตคุย ใช้แอป ใช้อินเทอร์เน็ตหาข้อมูล ดูคลิป Live ข่าว ฯลฯ
แล้วก็เอาข้อมูลมาปะติดปะต่อ พร้อม ๆ กับการเดินทางในป่าทีี่แทบไม่มีใครเดินทางผ่านมา ซึ่งผู้เขียนก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ปกติถ้าใช้โทรศัพท์หนักขนาดนั้น แบตเตอรี่ไม่หมดบ้างเลยเหรอ ถ้าเอาตามจริง ใข้หนักขนาดนี้ต้องงัดพาวเวอร์แบงก์มาเสียบชาร์จแล้วนะ (555)
และพอตัวหนังเล่าด้วยพลังของคน ๆ เดียว ก็เลยกลายเป็นว่า ตัวหนังถูกผลักให้ต้องใช้ฝีมือการแสดงของ ‘นาโอมิ วัตส์’ (Naomi Watts) ในการแบกหนังทั้งเรื่องแต่เพียงลำพัง ซึ่งจริง ๆ เธอ (และ iPhone 1 เครื่อง) ก็ทำได้ค่อนข้างดีนะครับ โดยเฉพาะการสะท้อนภาพความว้าวุ่นใจของแม่ที่มีลูกที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ต้องการเดินทางไปหาลูกที่อยู่ไกลออกไป และโทรศัพท์ก็คือที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะทำให้เธอพอจะทราบสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ ทำให้หนังในครึ่งแรกเป็นหนังทริลเลอร์ที่ชวนให้ลุ้นจิกเบาะได้เลยแหละ ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี
แต่ปัญหาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ครึ่งหลังของหนังครับ แม้ครึ่งแรกจะดำเนินเรื่องได้อย่างสนุก ภายใต้สถานการณ์ที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ และสถานการณ์ทั้งในป่า และสถานการณ์ของผู้คนที่เอมีโทรไปขอความช่วยเหลือก็มีแต่จะยิ่งยุ่งยากวุ่นวายขึ้นทีละนิด แต่สิ่งที่เป็นปัญหาในช่วงครึ่งหลัง กลับมีปัญหาหลายจุดที่ซ้อนทับกันอยู่
ประเด็นแรกก็คือ ประเด็นการกราดยิงโรงเรียนที่หนังเรื่องนี้หยิบมานำเสนอครับ เอาเข้าจริง ประเด็นเรื่องการกราดยิงที่เรามักได้ยินข่าวจากต่างประเทศนี่ถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับพ่อแม่ชาวอเมริกันมากนะครับ การหยิบเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาเล่น ต้องนำเสนอด้วยสารและเรื่องที่แข็งแกร่งและจริงจังมากพอ แต่ด้วยเทคนิควิธีการของหนังที่พยายามบีบให้คนดูเชื่อวิธีการของเอมีเท่านั้น ทำให้สารที่ปรากฏในหนัง แทนที่จะสะท้อนความน่ากลัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุกราดยิง หรือชี้นำวิธีการเอาตัวรอดของแม่และเด็ก ฯลฯ
แต่กลับกลายเป็นว่า ตัวหนังกลับพยายามทำให้การกราดยิงกลายเป็นเพียงฉากแอ็กชันลุ้นระทึกฉากหนึ่ง และนั่นก็ทำให้เอมีเริ่มเลยเส้นออกไปแทรกแซงเหตุการณ์ที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานด้วยตัวเองในองก์สุดท้ายซะอย่างนั้น กลายเป็นว่า เอมีผู้เป็นแม่ของผู้ประสบเหตุ ต้องกลายเป็นนักสืบ และก็กลายมาเป็นฮีโรไปเสียอีก
และยิ่งเมื่อไปเปรียบเทียบกับตัวมือปืน ก็ยิ่งทำซ้ำภาพให้ชัดขึ้นว่า หนังต้องการเชิดชูให้เอมีกลายเป็นผู้มีมนุษยธรรมที่ต้องคอยห้ามปรามไอ้หนุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุไปเพราะไม่ได้มีเหตุจูงใจอะไรเป็นพิเศษ (เพียงเพื่อจะช่วยลูกตัวเองเท่านั้นแหละ)
และหลายครั้ง การที่เอมีเข้าไปยุ่มย่ามสืบเสาะคดีเองโดยไม่พึ่งพาตำรวจ ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม และยิ่งแย่ซ้ำร้ายลงไปอีกเมื่อเอมีต้องรับหน้าที่ช่วยเหลือตำรวจทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีเพียงข้อมูลที่หาได้จากในอินเทอร์เน็ต ซึ่งจริง ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและอันตรายมาก สิ่งนี้ยิ่งไปทำให้เจตนาของตัวหนัง (และ End Credits พร่ำสอนท้ายเรื่อง) สะท้อนออกมาว่า เหตุการณ์กราดยิง เป็นเพียงเหตุการณ์แอ็กชันจิ๊บจ๊อย ที่แก้ไขได้ด้วยวิธีการนอกลู่นอกทาง (ที่ไม่จำเป็นต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจ) เท่านั้นเองหรือเปล่า
รีวิวหนัง The Desperate Hour
รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก
ฉันเริ่มที่จะระวัง “ภาพยนตร์ที่ถูกล็อกดาวน์” เหล่านี้ และการดู THE DESPERATE HOUR จะเตือนคุณถึงความน่าสมเพชของพวกเขา นี่คือภาพยนตร์ที่เราเข้าร่วมกับนาโอมิ วัตต์ส์ ตลอดเวลาที่เธอไปวิ่งจ็อกกิ้งในป่า แค่นั้นแหละ. กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความพยายามในหนังระทึกขวัญสถานที่เดียวที่ตกต่ำด้วยการเล่าเรื่องที่ไร้สาระ การหักมุมที่ชัดเจน และความระทึกขวัญและละครที่ไม่มีอยู่จริง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง DEAD CALM ทำแบบนี้ ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ครอบครัวสูญเสียพ่อไป เอมี่ (นาโอมิ วัตส์) คุณแม่ออกไปวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้าและพักผ่อนในวันหยุดส่วนตัว โนอาห์ ลูกชายวัยรุ่นเจ้าอารมณ์ของเธอ (โคลตัน กอบโบ) ไม่อยากไปโรงเรียนและมีข้อบ่งชี้ทั้งหมดว่าเขาไม่สบาย ขณะวิ่งเหยาะๆ เอมี่พบว่ามีการล็อกดาวน์เพราะเหตุกราดยิงในโรงเรียน อาจจะเป็นโนอาห์?
นาโอมิ วัตส์เกือบทั้งเรื่องเดินกะเผลกไปมาในป่าและคุยโทรศัพท์ จบลงด้วยอารมณ์หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแห่งความเบื่อหน่ายในการส่งต่ออย่างรวดเร็ว
สวัสดีอีกครั้งจากความมืดมิด ด้วยความถี่ที่น่าเศร้าและให้อภัยไม่ได้ของการยิงในโรงเรียนในโลกแห่งความเป็นจริง เป็นที่ถกเถียงกันว่าหัวข้อนี้ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นพื้นฐานสำหรับภาพยนตร์หรือไม่ แม้แต่เรื่องที่เน้นเรื่องความวุ่นวายทางอารมณ์ของแม่และนักเรียน ไม่ว่าความคิดเห็นของใครก็ตามในเรื่องนั้น
ผู้ชมรายนี้พบว่ามีค่าน้อยมากในภาพยนตร์ นอกเหนือความพยายามของนาโอมิ วัตต์ส มันไม่ได้ให้ความบันเทิงเป็นพิเศษในฐานะหนังระทึกขวัญ และรายละเอียดบางอย่างที่แสดงออกมาในที่นี้อาจดูน่าขบขัน หากไม่ใช่สำหรับเนื้อหาในหัวข้อ
นาโอมิ วัตส์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 สมัย รับบทเป็น เอมี่ คาร์ แม่ม่ายเลี้ยงเดี่ยว วันครบรอบหนึ่งปีของอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คร่าชีวิตสามีของเธอมาถึงแล้ว และนิมิตที่หลอกหลอนเหล่านั้นยังคงทำให้เธอตื่นจากการนอนหลับสนิท
หลังจากโทรศัพท์มาทำงานในวันส่วนตัว ล้มเหลวในการไล่โนอาห์ (โคลตัน ก็อบโบ) ลูกชายวัยรุ่นของเธอออกจากเตียง และดูแลให้ลูกสาวคนเล็กเอมิลี่ (เซียร์รา มอลต์บี้) อยู่บนรถโรงเรียนอย่างปลอดภัย เอมี่ก็ออกไปวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้า ดูหนังออนไลน์ฟรี 2021 เต็มเรื่อง พากย์ไทย
จากจุดนั้นเป็นต้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ขยายขอบเขตของความน่าเชื่อไปจนถึงจุดที่กลอกตาสองสามข้างเป็นที่ยอมรับได้อย่างสมบูรณ์ การวิ่งจ็อกกิ้งของ Amy ทำให้เธอต้องเดินทางหลายไมล์เข้าไปในป่า แต่เธอก็สามารถสนทนาทางโทรศัพท์ได้มากกว่าผู้ควบคุมสวิตช์บอร์ดในสมัยก่อน นั่นคือ จนกระทั่งเธอรู้เรื่องมือปืนที่กระฉับกระเฉง สิ่งนี้ทำให้เกิดการครอบคลุมเซลล์เป็นระยะๆ – ตอนนี้เธอมีแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มี โทรศัพท์เวทย์มนตร์ของเธอให้ข้อมูล GPS ที่รวดเร็วและมีรายละเอียดอย่างบ้าคลั่ง
และยังสั่ง LYFT ที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยมีมา เห็นได้ชัดว่าผู้ขับขี่ทุกคนในเมืองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บางรูปแบบ และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดต้องรับมือกับร้านซ่อมรถที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียน ซึ่งพนักงานที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในประวัติศาสตร์จะรับสายของเอมี่
สามารถพูดได้เช่นเดียวกันสำหรับผู้ปฏิบัติงาน 911 ที่เธอไปถึงหลายครั้ง – แม้จะมีสถานการณ์เร่งด่วนและอันตรายในท้องถิ่น และถ้าฉันยังไม่ได้ใช้คำว่าน่าหัวเราะ นั่นเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของเอมี่กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ … หลังจากที่เธอข้อเท้าแพลงและการถูกกระทบกระแทกเล็กน้อย
ในด้านบวก คุณวัตส์มอบบทบาททุกอย่างที่เธอมี และเนื่องจากเป็นภาพยนตร์ “ระบาด” เกือบทุกฉากจึงมีการแสดงเดี่ยวของเธอ เธอเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงที่ไม่สามารถบันทึกเนื้อหาได้ ฟิลลิป นอยซ์กำกับหนังระทึกขวัญเรื่อง DEAD CALM (1989) ที่ฉันโปรดปราน และเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีจากภาพยนตร์เรื่อง Harrison Ford – Jack Ryan ระทึกขวัญ PATRIOT GAMES (1992)
และ CLEAR AND PRESENT DANGER (1994) คริส สปาร์ลิ่ง ผู้เขียนบทภาพยนตร์อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ ‘นักแสดงคนเดียว’ ที่ยอดเยี่ยมมากกับ BURIED (2010) ความผิดจำนวนหนึ่งไปกับการวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ตามหัวข้อ
เอาเป็นว่า พล็อตคิดเควสจากฟังก์ชันโทรศัพท์ออกมาได้สนุกดี การแสดงของนาโอมิ วัตส์ แบกหนังทั้งเรื่องแบบเชื่อถือได้ งานภาพสวย ถ่ายฉากป่าออกมาได้ดูดีท ตัวหนังครึ่งหลังเริ่มบิดให้เป็นแนวนักสืบ ซึ่งดูผิดที่ผิดทางและอันตรายมาก มุมมองการเล่าประเด็นการกราดยิงในโรงเรียนที่ยังดูไม่ค่อยรอบด้าน การปูเรื่องตัวละครยังเบาบางไปหน่อย ทำให้รู้สึกไม่น่าเอาใจช่วย และขาดแรงจูงใจที่น่าเชื่อถือ การตัดต่อจำเจนิดหน่อย ตัดสลับไปมา ชื่นชอบการรีวิวของเราสามารถติดตามการรีวิวได้ที่นี้ทีเดียว เว็บรีวิวหนัง