รีวิว Project Power ยาเม็ดซุปเปอร์ฮีโร่
เรื่องนี้นะครับเป็นแนวซุปเปอร์ฮีโร่ 2 ผู้กำกับจากหนัง Paranormal Activity ภาค 3 และ 4 อย่าง เฮนรี จูสต์ และ เอเรียล สคุลแมน ได้โอกาสจากเน็ตฟลิกซ์ทำหนังแนวซูเปอร์ฮีโรในแบบฉบับของตัวเอง โดยได้ แมตสัน ทอมลิน ที่กำลังมีผลงานเขียนบทร่วมกับผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ ในหนังรีบูท The Batman มารับหน้าที่เขียนบท ว่ากันตามนี้เราน่าจะได้เห็นหนังที่ได้พลังความสดจากทีมเบื้องหลังที่ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ การรับโจทย์ตีความหนังซูเปอร์ฮีโรในแบบ X-Men (หรือจะพูดว่า The Inhumans ก็ได้) ที่ได้พลังจากยาแบบชั่วคราวจนกลายเป็นการเสพติดพลัง ก็น่าจะได้เห็นทรวดทรงใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง
ทว่าในแง่เรื่องราวมวลรวม หนังเล่นท่าพื้นฐานมากพอสมควร มากเสียจนเนื้อหาอาจไม่ใช่จุดเด่นที่ดึงดูดให้เราอยากติดตามเรื่องราว เพราะนับแต่เปิดเรื่องก็แทบเฉลยทันควันว่าพลังเหนือมนุษย์ทั้งหลายแหล่ต่อไปนี้เกิดจากยาลึกลับที่เรือนาม เจเนซิส นำมาปล่อยให้แก๊งค้ายาในเมืองนิวออร์ลีนไปทดลองแบบฟรี ๆ และเพียงครึ่งทางของหนังก็เฉลยถึงเหตุจูงใจของเหล่าตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลังเสียแล้ว เรียกว่าทำลายมู้ดแบบหนังสืบสวนแนวตำรวจปราบแก๊งค้ายาที่วางไว้ดิบดีไปง่าย ๆ แถมเหตุผลที่ว่าก็ไม่ได้เกินคาดแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด ไปดูเลยที่ เว็บดูหนัง
ในส่วนภารกิจของเหล่าตัวเอกในฐานะตัวแทนสายตาผู้ชมไม่ว่าจะเป็น โรบิน เด็กสาวผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นแร็ปเปอร์แต่ฐานะทางบ้านปิดบังโอกาสเลยจำต้องมาแจกจ่ายยาพาวเวอร์จากญาติของตัวเอง และบังเอิญต้องมาพัวพันกับ อาร์ต อดีตทหารที่ออกตามหาลูกสาวซึ่งถูกลักพาตัวไป จนตามรอยมาถึงแก๊งค้ายาที่ญาติของโรบินเป็นสายส่ง และสุดท้าย แฟรงก์ ตำรวจสายขบถแห่งนิวออร์ลีนที่เชื่อว่าการปราบอาชญากรที่มีพลังพิเศษต้องใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ ทำให้เขาเข้ามาใกล้ชิดกับโรบินในที่สุด เส้นเรื่องใหญ่จึงเป็นการที่อาร์ตออกตามสืบหาลูกสาวโดยมีโรบินและแฟรงก์ติดร่างแหเข้ามาจนกลายเป็นทีมเฉพาะกิจที่ต้องปะทะกับเหล่าผู้มีพลังพิเศษ ขยายวงไปถึงองค์กรข้ามชาติที่ทำการทดลองยาพาวเวอร์ ไม่มีอะไรซับซ้อนไปจากนี้
และถึงเรื่องราวจะเกิดขึ้น และจบไปแบบไม่มีอะไรใหม่ให้น่าสงสัยติดตามภาคต่อ (ถ้ามี) แต่สิ่งที่ 2 ผู้กำกับจากหนังผีกล้องวงจรปิดได้ปล่อยของไว้ กลับคือ งานอาร์ตและซีจีที่ตื่นตาเกินมาตรฐานหนังเน็ตฟลิกซ์ทั่วไป มีความสดใหม่ด้านภาพที่ทรงพลัง ฉากที่อาร์ตต้องปะทะกับมนุษย์เพลิงตอนต้นเรื่องจัดว่าตื่นตาตรึงใจได้ไม่น้อยทีเดียว การรอคอยดูพลังของแต่ละตัวละครกลายเป็นความน่าติดตามมาก ๆ ว่าคนนั้นจะมีพลังแบบไหน และแสดงออกพลังด้วยซีจีอย่างไร ซึ่งก็มีทั้งตัวที่เจ๋งมาก ๆ อย่างมนุษย์เพลิง มนุษย์น้ำแข็ง มนุษย์ยักษ์ แล้วก็ที่ดูธรรมดา ๆ อย่างมนุษย์กายเหล็ก หรือแค่มีพลังกายเพิ่มเท่านั้น
ในขณะนั้นที่รายละเอียดของพลัง ก็มีความสดใหม่ในการนำเสนอ เช่น การใช้ยาที่มีเวลาจำกัดในการออกฤทธิ์ไม่กี่นาที ทำให้ต้องวางแผนการใช้ หรือการใช้เกินขนาดร่างกายรับไม่ไหวก็ตายได้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะรับพลังได้ตั้งแต่เม็ดแรก บางรายตัวระเบิดไปเลยก็มี อย่างไรก็ตามคำอธิบายที่มาของพลังก็ยังเป็นรูโหว่เล็ก ๆ เมื่ออาร์ตเฉลยว่าพลังจากยานี้มีที่มาจากพลังของพวกสัตว์ ซึ่งยากจะหาคำอธิบายว่ามนุษย์เพลิงกับมนุษย์น้ำแข็ง ไปเอาพลังจากสัตว์ประเภทไหนมา แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดอ่อนร้ายแรงนัก (แต่ร้ายแรงแน่ถ้าจะมีภาคต่อแล้วยังยึดคำอธิบายนี้)
รีวิว Project Power ยาเม็ดซุปเปอร์ฮีโร่
สิ่งที่จูงใจให้หนังน่าดูอีกอย่าง คือการมาโชว์ฝีมือของ เจมี ฟ็อกซ์ ในบท อาร์ต ที่อาจไม่ใช่งานยากของฟ็อกซ์นักเพราะตัวละครมีเป้าหมายเดียวคือห่วงและตามหาลูกสาว มีความขัดแย้งในตัวแค่ว่าไม่ใช่คนเลวแต่ต้องใช้วิธีการที่รุนแรงในบางครั้งเพื่อสืบหาคนที่ลักพาตัว ในขณะที่ดาราอีกคนอย่าง โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ ก็สวมบท แฟรงก์ ตำรวจนอกคอกที่รักเมืองเกิดจนยอมขายวิญญาณให้พลังได้แบบไม่ยากเย็นเช่นกัน
ส่วนโจทย์หนักน่าจะมาอยู่ที่ดาราหน้าใหม่อย่าง โดมินิก ฟิชแบ็ก ดาราสาวสายทีวีซีรีส์ที่ได้บทนำจากการโชว์ฝีมือในหนังโรงสายเวทีประกวดเพียงเรื่องเดียว แล้วต้องมาปะทะกับดาราเบอร์ใหญ่ทันที โดยตัวละคร โรบิน ของเธอเป็นตัวแทนผู้ชมให้เข้าไปสู่โลกของหนังอย่างแท้จริง ซึ่งพูดกันตามตรงว่าด้านเซ็กซ์แอปพีลของเธอนั้นไม่ได้เป็นจุดแข็ง แต่การสื่อภาวะของวัยรุ่นที่สับสนในชีวิตตัวเองไม่พอแล้วบังเอิญต้องมาเจอปัญหาใหญ่ที่ผู้ใหญ่ยังรับมือลำบาก ก็ถือว่าแสดงได้ผ่านมาตรฐาน พอพยุงหนังไปได้ ซึ่งก็น่าเสียดายถ้าบทหนังเปิดโอกาสให้เหล่าตัวละครนำมีมุมที่ลึกและน่าสนใจแตกต่างจากตัวละครสูตรที่ใช้กันบ่อยแล้วอย่างนี้ หนังน่าจะมีจุดแข็งหลักในการนำเสนอภาคต่อได้
สรุปนะครับ นี่เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์สายซูเปอร์ฮีโรที่ผิวหน้าวูบวาบตื่นตาทั้งงานภาพ งานอาร์ต และซีจี มีรายละเอียดเกี่ยวกับพลังที่คิดว่าต่อยอดพัฒนาให้สนุกได้มากกว่านี้ มีดาราที่เห็นก็คุ้นหน้าทำให้อยากดูเป็นแม่เหล็กได้ แต่กระนั้นถึงภายนอกจะตื่นตาเพียงใด แต่ภายในก็ยังไม่ตราตรึงใจนัก ด้วยบทที่ยังหาจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไม่เจอ อย่าลืมรับชมได้ที่ เว็บดูหนังไม่มีโฆษณา
รีวิวจากผู้ชมทั่วโลก
1.ลองนึกภาพ Code 8 มีลูกกับ Bright แล้วคุณจะได้หนังเรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์ที่ผู้คนได้รับพลังพิเศษจากการกินยาเม็ดใหม่แฟนซีที่กองกำลังลึกลับเร่ขายอยู่บนถนน เราดูเวอร์ชันของ Punisher ที่พยายามหาลูกสาวของเขาเข้าร่วมกองกำลังกับตำรวจที่ต้องการให้เมืองของเขาหลุดพ้นจากภัยคุกคามใหม่นี้ในขณะที่ทางการถูกซื้อและจ่ายเงินให้และกับแร็ปเปอร์สาวยากจนและติดอยู่ตรงกลาง ทั้งหมด
โอกาสเดียวคือจัดการเรื่องนี้ด้วยมือของพวกเขาเอง ตอนนี้ ในฐานะที่เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับไซไฟ มันค่อนข้างโอเค แต่ฉันไม่สามารถสั่นคลอนความรู้สึกที่ว่ามันมีศักยภาพสำหรับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นสูตรที่ค่อนข้างลงตัว และฉันไม่สามารถวางนิ้วบนสิ่งที่สามารถทำได้แตกต่างออกไป
แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ บางทีความดื้อรั้นของตัวละครของ Foxx ก็เป็นสิ่งที่แปลก ผู้ชายที่สามารถข่มขู่เด็กสาวด้วยความรุนแรง ฆ่าคนทั้งซ้ายและขวาเพียงเพราะพวกเขาขวางทางและอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดก็แค่เป็นคนดี ผลที่ตามมาก็เปล่าประโยชน์ หรือบางทีสาวผิวดำที่น่าสงสารทั้งตัวต้องเร่ขายยาบนถนนเพราะโลกนี้เป็นปฏิปักษ์กับเธอ
ซึ่งพาดพิงถึงแนวคิดเหมารวมที่เป็นพิษและการเคลื่อนไหวของ Black Lives Matter ไปพร้อม ๆ กัน หรือบางทีอาจเกี่ยวกับตำรวจขาวที่ดีที่เสพยาเพื่อที่เขาจะได้ต่อสู้กับยาเสพติดและการทุจริต มีความหวาดระแวงทางศีลธรรมมากมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขในสคริปต์ บรรทัดล่าง: อย่าคาดหวังอะไรที่จะปฏิวัติจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับความตึงเครียดและเอฟเฟกต์ผิวที่เร่าร้อน
2. “Project Power” เป็นภาพยนตร์แอคชั่น – Sci-Fi ที่เราดูอดีตทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพ่อค้าวัยรุ่นที่พยายามจะหยุดคนกลุ่มหนึ่งไม่ให้ส่งยาที่ให้พลังที่คาดเดาไม่ได้แก่ผู้ใช้ พวกเขาต้องให้ความร่วมมือและไว้วางใจซึ่งกันและกันหากต้องการประสบความสำเร็จ ฉันพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจแต่ไม่ใช่สิ่งที่น่าทึ่งหรือใหม่
เนื่องจากมีภาพยนตร์ไซไฟมากมายที่เกี่ยวข้องกับมหาอำนาจและหนทางในการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น การตีความของทั้งโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ที่เล่นเป็นแฟรงค์และเจมี่ ฟ็อกซ์ที่เล่นเป็นศิลปะนั้นดีและการผสมผสานกันก็ทำได้ดีมาก การตีความอีกอย่างที่ต้องพูดถึงคือ Dominique Fishback ผู้เล่นเป็น Robin สรุปต้องบอกว่า “Project Power” เป็นหนังที่ดีที่จะใช้เวลาด้วย แต่ถ้าจะดู แนะนำว่าให้ลดมาตรฐานลงมา ไม่งั้นจะผิดหวัง
3. เกี่ยวกับความบันเทิงแบบเม็ดน้ำตาล แต่เป็นการผลิตทางเทคนิคที่มีคุณภาพแบบฟลอปปี้ที่ไม่ต่อเนื่องกันมากมายและมีความกล้ามากกว่าสมบูรณ์แบบในเรื่องธรรมดาที่ทำให้ภาพยนตร์เป็นภาพยนตร์ที่ “ดี” มีข้อบกพร่องใหญ่ในการผลิตเสียง และการใช้คะแนนกับปุ่มปรับระดับเสียงขึ้นลงทุกครั้งที่มีการสนทนามีราคาถูกและไม่จำเป็น
การจัดการเสียงลืมไปว่าเสียงของเรือที่กำลังเคลื่อนที่ส่งเสียงดังแค่ไหน และความสงบนิ่งของหายนะทำให้ความเงียบที่อัดแน่นไปทำให้ระคายเคือง การแก้ไขก็มีประเด็นเช่นกัน และโครงเรื่องก็ดำเนินไปอย่างไร้จุดหมาย การแสดงทำตามคำสั่งของผู้กำกับและเขียนสคริปต์มาก ไม่ค่อยมีสไตล์อิสระที่นี่ ความตื่นตระหนกพิเศษมีมาตรฐานต่ำ ในแง่บวก
สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย และแสงและสีที่ออกผลนั้นช่างยอดเยี่ยม แต่นั่นก็เท่านั้น และแน่นอนว่าชายชราผู้ไม่พอใจก็อยู่ต่อจนจบ แต่มันเป็นสัญญาณที่ดีในฤดูการแพร่ระบาดที่ค่อนข้างมืดมิด ดังนั้น เพลิดเพลินไปกับความบันเทิงที่แนะนำ
4. Project Power เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ค่อนข้างยุติธรรมซึ่งมีการกระทำที่น่าตื่นเต้นและน่าตื่นเต้น แต่มีทิศทางและตัวละครที่ไม่ดี ฉันรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะมีอะไรมากกว่านั้นด้วยแนวคิดและเรื่องราวของมัน แต่ผู้กำกับดูโอ้ที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง Nerve ด้วย ซึ่งเน้นเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นตำรวจและรัฐบาล ที่กำลังทดลองกับผู้คน
ความยากจนต่ำที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูง เนื้อเรื่องติดตามอาร์ท (เจมี่ ฟ็อกซ์), แฟรงค์ (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) และโรบิน (โดมินิก ฟิชแบ็ค) ที่พยายามหยุดยั้งผู้ค้ายาและการทุจริตจากการปล่อยยาที่ให้พลังประชาชนเป็นเวลา 5 นาที ซึ่งบางคนใช้ประโยชน์จากการก่ออาชญากรรมและบางคนใช้มันเพื่อหยุดอาชญากร ศิลปะมีวาระของตัวเองที่พยายามจะหยุดองค์กรที่ปล่อยยาเหล่านี้
แฟรงค์พยายามหยุดคนเลวแต่ใช้ยาเพื่อให้มีกำลัง Robin นักเรียนมัธยมปลายและผู้ให้ข้อมูลที่ช่วยแฟรงค์ในการหายาเหล่านี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เสียทิศทางด้วยพล็อตย่อยที่น่าเบื่อโดยโรบินพยายามเป็นแร็ปเปอร์ฟรี ซึ่งเธอปล่อยแร็พแบบสุ่มในห้องเรียนที่แย่และแย่มาก ฉันรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สามารถตัดแต่งพล็อตย่อยที่อ่อนแอบางส่วนด้วยตัวละครเหล่านี้ซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเนื้อเรื่องหลัก
ฉากแอคชั่นนั้นดีและสนุกสนาน โน้ตเพลงทำงานร่วมกับโทนเสียง วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างถูก โดยรวมแล้ว Project Power เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างยุติธรรม การกระทำเป็นสิ่งที่ดี เรื่องราวอาจมีมากขึ้น บทนี้ผสมผสานกับโทนสีที่ไม่สม่ำเสมอกับตัวละครและโครงเรื่องย่อย หนังน่าจะแย่กว่านี้
5. บทภาพยนตร์แย่มากกับเนื้อเรื่องหลักและปัญหาทางเทคนิค ชัดเจนที่สุด…ทำไมไม่รักษาแม่ในที่สุด? มันเหมือนกับว่านักเรียนชั้น ป.5 ที่เขียนสิ่งนี้ เนื่องจากงานเขียนบางชิ้นเป็นงานเด็กที่ผสมปนเปกับการกระทำที่ยอดเยี่ยม หากมีนักเขียนบทที่ช่ำชองแก้ไขงานเขียน เรื่องนี้อาจได้รับความนิยม แต่กลับเป็นงานที่พลาดความสามารถไปโดยเปล่าประโยชน์
แม้แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Foxx, Gordon-Levitt และ Fishback ก็ไม่สามารถกอบกู้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ การถ่ายภาพยนตร์นั้นยอดเยี่ยมและเป็นซาวด์แทร็กที่ยอดเยี่ยม แต่เสียงนั้นดูแย่มาก บทสนทนาเบาในขณะที่เอฟเฟกต์เสียงทั้งหมดดังมาก ฉันได้รับ tendinitis อย่างต่อเนื่องโดยกดระดับเสียงขึ้นและลง การกำกับทำได้ดีเป็นส่วนใหญ่
แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามีปัญหาในการตัดต่อหรือกำกับหรือไม่ เนื่องจากบางฉากขาด ๆ หาย ๆ หรือขาดความชัดเจน รันไทม์ 111 นาทีนั้นถูกต้องด้วยการเว้นจังหวะที่เหมาะสม ให้คะแนน 7/10 จากฉัน ส่วนใหญ่สำหรับการแสดง ภาพยนตร์ และเพลงประกอบ
จบไปแล้วสำหรับการรีวิวนะครับเหมือนเดิม ถ้าหากว่าคุณชอบการรีวิว ของเราอย่าลืมติดตามได้ที่นี้ที่เดียว เว็บรีวิวหนัง