รีวิวซีรีส์ The Umbrella Academy Season 2

 

 

เอาละครับวันนี้เราจะมารีวิวซีรีส์สนุก ๆ กันนะครับผม ก่อแฟนคลับแบบเงียบ ๆ หลังจบซีซันแรกของ The Umbrella Academy ที่ทาง Netflix ทุ่มทุนสร้างจากคอมิกต้นฉบับของ Dark Horse Comic โดยมี เจอร์ราด เวย์ เป็นคนแต่งเรื่องราวของเหล่าฮีโรนอกคอกและมีปัญหาครอบครัว ด้วยความแปลกใหม่ของเนื้อหาที่ผสมผสานทั้งการเมือง ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพอปต่าง ๆ เข้าไปก็ทำให้ตัวซีรีส์ประสบความสำเร็จจนได้มีซีซัน 2 ออกมาในวันนี้

 

รีวิวซีรีส์ The Umbrella Academy Season 2

 

หลังเกิดเหตุการณ์หายนะครั้งใหญ่ในตอนสุดท้าย ไฟว์ (ไอแดน กัลลาเกอร์) ตัดสินใจใช้พลังย้ายมวลสารเหล่าพี่น้องของเขาไปอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกันจนได้มาบรรจบกันในช่วงเวลา 8 วันก่อนที่โลกจะถึงคราวอวสานโดยแต่ละคนได้มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ลูเธอร์ (ทอม ฮอปเปอร์) ใช้พละกำลังของแขนสุดทรงพลังกลายเป็นนักมวยสังเวียนเถื่อน, แอลลิสัน (เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน)

นั้นได้พบรักกับนักต่อสู้เพื่อสิทธิคนผิวสี, ดิเอโก (เดวิด คาสตาเนดา) มือมีดประจำทีมถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าหลังพยายามหยุดยั้งการสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี ในอีก 8 วันข้างหน้า, วานญา (เอลเลน เพจ) กลายเป็นคนความจำเสื่อมในความดูแลของเมียเจ้าของฟาร์ม ส่วน เคลาส์​ (โรเบิร์ต ชีฮาน) ก็ได้กลายเป็นผู้นำลัทธิประหลาดหลังท่องไปในกาลเวลาเพื่อหาทางหยุดไม่ให้คนรักไปรบในสงครามเวียตนาม โดยมี เบน (จัสติน เอช มิน) วิญญาณที่เคลาส์สามารถสื่อสารได้เดินทางไปด้วย รีบไปรับชมได้ที่ เว็บดูหนังไม่มีโฆษณา

 

รีวิวซีรีส์ The Umbrella Academy Season 2

 

รีวิวซีรีส์ The Umbrella Academy Season 2

แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อองค์กรโฉดอย่าง เดอะ คอมมิชชัน ที่มีหน้าที่ดูแลระเบียบของประวัติศาสตร์ในแต่ละเส้นเวลาของมัน โดยมีตัวแปรสำคัญได้แก่ เดอะ แฮนด์เลอร์ (เคต วอล์ช) ที่อยู่เบื้องหลังชักใยแผนการร้ายให้ตนก้าวสู่อำนาจสูงสุดที่หวังใช้ความมุ่งมั่นของ ไฟว์ ที่จะพาทุกคนกลับบ้านเป็นช่องทางในการทำลายเหล่าสมาชิกของ ดิ อัมเบรลลา อคาเดมี.

และภาพรวมต้องยอมรับว่าตัวซีรีส์ในซีซัน 2 ดูสนุกและลื่นไหลกว่าซีซันแรกมาก ทั้งที่ต้องปูประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของอเมริกาทั้งการลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนเนดี ในปี 1963 การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของคนผิวสีในช่วงเริ่มต้น ไปจนถึงสงครามเวียดนามและลัทธิประหลาดที่เกิดขึ้นในยุคดังกล่าว

แต่พอซีรีส์ไม่จำเป็นต้องปูพื้นหรือบอกเล่านิสัยใจคอของตัวละครแล้วนั้น คนดูก็จะได้เห็นพวกเขาท่องไปในช่วงเวลาประวัติศาสตร์พร้อมบุคลิกแบบป่วน ๆ กวนประสาทของพวกเขาก็ทำให้ตัวซีรีส์ดูสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับซีซันนี้นักแสดงที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็น โรเบิร์ต ชีฮาน เช่นเคยเพราะบทเคลาส์ให้โอกาสเขาได้เล่นอะไรสนุก ๆ เยอะมากทั้งอาการเมา ๆ แฮง ๆ แบบกัปตันแจ๊ก สแปร์โรว์ หรือบทดรามาที่ตัวเองพยายามไม่ให้คนรักต้องไปร่วมรบในสงครามเวียดนามเขาก็ยังทำได้ดีเช่นเคย ส่วน ไอแดน กัลลาเกอร์ ก็น่าจะแจ้งเกิดได้ไม่ยากเลยทีเดียวครับ เพราะคราวนี้เขาไม่ได้มีบทบาทแค่หลังตอน 5 เหมือนซีซันแรกแล้ว แต่คราวนี้ย้ายมาเป็นกระดูกสันหลังของเรื่องราวในฐานะพี่ชายในร่างเด็กมัธยมที่พยายามพาครอบครัวกลับบ้านที่ทั้งโหด บ้าดีเดือด แต่ก็เท่ไม่หยอกเลย

 

 

น่าเสียดายที่สุดคงหนีไม่พ้นคนที่ได้บทดี ๆ อย่าง เอลเลน เพจ, เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน และ เดวิด คาสตาเนดา ที่รายแรกอุตส่าห์มีบท LGBTQ ที่เด่นกว่าตัวละครอย่าง เคลาส์ แต่ด้วยบุคลิกที่ดูแล้วยังไม่เชื่อว่าเธอเป็นเด็กสาวอินโนเซนต์ที่เพิ่งรู้จักรักครั้งแรกจากสาววัยกลางคนเลยทำให้ดรามาในส่วนของเธอกลายเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างอืดอาด

ส่วน เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน แม้จะถูกบิลต์จากซีรีส์มาตั้งแต่ซีซันแรกว่าเธอคือคนสวยเราก็ดันยังไม่เตะตากับลุคเธอเท่าไหร่ ยิ่งมาซีซันนี้นั้นมาแต่งเป็นสาวยุคโมทาวน์แบบไม่เข้ากับทรงหน้าเธอยิ่งแล้วใหญ่ ส่วนการแสดงแม้จะได้เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทกับประวัติศาสตร์คนผิวสีแต่เรากลับไม่รู้สึกตามเธอเท่าไหร่ด้วยแอ็กติงที่ยังไปไม่สุดและไม่โดดเด่นในฐานะตัวละครนำเท่าที่ควร

ส่วน เดวิด คาสตาเนดา นี่มีทั้งหน้าหล่อ ๆ แบบหนุ่มละตินและสกิลปามีด แต่เสน่ห์เวลาเข้าคู่กับ ลิลา (ริตู อาร์ยา) สาวอินเดียหน้าคมหุ่นเป่ะสุดอันตรายแล้วคือไม่เกิดเลยกลับหมองไปในทุกซีนที่เข้าคู่กัน เป็น ทอม ฮอปเปอร์ กับ จัสติน เอช มัน ซะอีกที่น่าสงสารเพราะพวกเขาได้มีบทบาทเป็นแค่บทประกอบแบบสำคัญไม่เท่าคนอื่นแต่มีการแสดงที่น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะคนหลังที่หน้าตี๋ ๆ หล่อ ๆ น่าจะสร้างแฟนคลับสาว ๆ ได้ไม่ยากเลย

 

 

และยิ่งไปกว่านั้น ในซีซันที่ 2ยังมีตัวละครที่น่าสนใจอีกเพียบทั้งพี่น้องสวีเดน 3 เกลอที่โหดจัดและบ้าบอคอแตกมาก หรือจะเป็นพวกตัวละครประธานกลุ่มเดอะ คอมมิชชัน ที่หัวเป็นโหลปลาทอง ไปจนถึงตัวละครแสบ ๆ ทั้ง ลิลา ที่ได้สาว ริตู อาร์ยา สาวอินเดียหน้าคมเสน่ห์ร้ายที่น่าจะทำให้หนุ่ม ๆ หลงไหลได้ไม่ยาก

ไปจนถึง MVP ประจำซีซันอย่างเดอะแฮนด์เลอร์ ที่ได้ เคต วอล์ช นักแสดงตัวแม่จากซีรีส์ Grey Anatomy มารับบทผู้จ้างวานตายยากแสบสารพัดพิษได้แซ่บถึงพริกถึงขิงว่าขนาดคอสตูมนางว่าเวอร์วังแล้ว แต่แอ็กติงคือชนะเลิศและฆ่าเพื่อนร่วมจอตายหมดจริง ๆ

โดยรวมแล้วก็ถือว่า The Umbrella Academy Season 2 มีดีให้ติดตามและดูง่ายกว่าซีซันแรก แถมยังปูพื้นตอนท้ายว่าอาจมีซีซัน 3  ได้แบบยั่วความอยากดูสุด ๆ คงไม่ต้องลังเลแล้วสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูหาเวลาสุดสัปดาห์นี้ไล่ดูยาว ๆ ได้เลยครับ ต้องตามไปดูแล้วละที่ เว็บดูหนัง

 

 

รีวิวส่วนนึงจากผู้รับชม

ความคิดเห็นเหล่านี้อิงจากการดูสองซีซันแรก แต่หลีกเลี่ยงรายละเอียดพล็อตที่อาจทำให้ความเพลิดเพลินของผู้ชมในซีรีส์เสียหาย วันหนึ่งในปี 1989 ทารกสี่สิบสามคนเกิดมาเพื่อมารดาที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ตั้งแต่วันแรก เจ็ดคนเป็นลูกบุญธรรมโดยเซอร์เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์ นักอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยมาก เขาเลี้ยงดูพวกเขาและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ยกเว้น Vanya พวกเขาแต่ละคนมีพลังพิเศษ

เขาเลี้ยงดูพวกเขาเพื่อใช้พลังในการต่อสู้กับอาชญากรรม แต่ทุกอย่างไปไม่เป็นไปด้วยดี และพวกเขาต่างก็แยกทางกันไปตามวิถีทางที่ผิดเพี้ยน เมื่อเซอร์เรจินัลด์เสียชีวิต เด็กทั้งห้าคนกลับไปบ้านของครอบครัว ชื่อว่า ‘Umbrella Academy’… หนึ่งในนั้นคือ เบ็น เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน และอีกคนหมายเลขห้า หายตัวไปหลังจากพยายามข้ามเวลา

ผู้รอดชีวิตเริ่มสงสัยว่าการตายของพ่อเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่บอก ภายหลังห้าหนุ่มกลับมาจากคำเตือนในอนาคตว่าโลกจะสิ้นสุดในอีกไม่กี่วัน! ราวกับว่าพยายามที่จะหยุดนั่นไม่เพียงพอที่นักฆ่าคู่หนึ่งจะตามหลังพวกเขา ถ้าคุณชอบให้ฮีโร่ของคุณมีพลังมหาศาลและต่อสู้กับอาชญากรรมในชุดที่มีเอกลักษณ์ ที่นี้จะไม่เหมาะกับคุณ อย่างไรก็ตาม

หากคุณต้องการบางสิ่งที่แตกต่างจากประเภทนี้ เรื่องราวมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องและในขณะที่การเปิดเผยที่สำคัญบางอย่างไม่น่าแปลกใจเลย แต่ก็มีการหักมุมที่ดีอยู่บ้าง ตัวเอกที่ไม่สมบูรณ์ของเราล้วนเป็นตัวละครที่ดี และคู่อริก็แสดงได้ดีเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่ซุปเปอร์วายร้ายธรรมดาทั่วไป แต่ค่อนข้างคลุมเครือและเห็นอกเห็นใจแน่นอน

โดยส่วนใหญ่ เกินจะคาดเดา นักแสดงทำงานได้ดีมาก ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ Robert Sheehan และค่าย Klaus ที่สามารถเห็นคนตายได้ Aidan Gallagher เป็น Five และ Ellen Page เป็น Vanya ‘ปกติ’ ซีรีส์นี้มีรูปลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมพร้อมเอฟเฟกต์พิเศษที่ดี มันยังใช้ดนตรีเพื่อเอฟเฟกต์ที่ยอดเยี่ยม สองฤดูกาลแรกแต่ละฤดูกาลมีแปลงยาวของฤดูกาลแยกกัน ตัวละครพัฒนาขึ้นอย่างดีตลอดทั้งสองฤดูกาล โดยรวมแล้ว ฉันคิดว่าฉันสนุกกับมันมาก และจะแนะนำมันอย่างแน่นอน… ฉันตั้งตารอซีซันสามอยู่แล้ว

ฉันรู้สึกว่ามันสามารถปรับปรุงได้หากไม่มีแนวโรแมนติกอย่างที่เราเคยเห็นมาก่อนในเนื้อหาซูเปอร์ฮีโร่ใด ๆ ฉันปรบมือให้ Aidan Gallagher สำหรับการทำงานที่เหลือเชื่อเช่นการเล่นหมายเลข 5 เหมือนพี่ชาย เขาทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ ในความเห็นส่วนตัวของฉันอย่างแท้จริง! ฉันแค่รู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจผิดโดยให้เอลเลน เพจอ่อนแอ ซึ่งบอกตามตรงว่าไม่เหมาะกับเธอเลย ใช่ ขอโทษ DC คุณไม่ได้ทำให้ฉันประทับใจในครั้งนี้ แต่ฉันหวังว่าจะได้พบ Aidan Gallagher ในโครงการที่ดีอีกในอนาคต!

เอาละครับนี้ก็เป็นการรีวิวเสียงวิจาร์ณส่วนนึงของชาวต่างชาตินะครับ เราจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะไปในทางที่ดีมากกว่านะครับ หากชอบการรีวิวของเรา อย่าลืมคอยติดตามการรีวิวใหม่ๆได้ที่นี้ที่เดียวนะครับ เว็บรีวิวหนัง