รีวิว Cruella

Status Released

Original Language อังกฤษ

Budget $200,000,000.00

Revenue $233,274,812.00

Director Craig Gillespie

Novel Dodie Smith

Screenplay Tony McNamara

Screenplay Dana Fox

Story Aline Brosh McKenna

Story Kelly Marcel

Story Steve Zissis

รีวิว Cruella ครูเอลล่า

 

ผ่านมานานหลังจากเลื่อนกำหนดฉายโรงมาหลายรอบในที่สุดไลฟ์แอ็กชั่นจากผลงานฮิตของดิสนีย์อย่าง Disney’s Cruellaก็ได้ฤกษ์มาลงสตรีมมิ่งทางดิสนีย์พลัสฮอตสตาร์ (Disney+Hotstar) แล้ว โดยวางกำหนดฉายเปิดตัววันที่ 3 กันยายน 2564 ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทางดิสนีย์ที่เลือกการฉายผ่านสตรีมมิ่งในช่วงภาวะโรคระบาด โควิด-19 แบบนี้เพราะประกาศล่าสุดของทาง ศบค.เองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้โรงภาพยนตร์เปิดให้บริการได้เมื่อไหร่
เรื่องย่อ “ครูเอลล่า” เรื่องราวของความขบถในช่วงแรกเริ่มของหนึ่งในตัวร้ายชื่อกระฉ่อน ที่มีความจัดจ้านด้านแฟชั่นที่สุดในวงการภาพยนตร์ ครูเอลล่า เดอ วิล “ครูเอลล่า” คือเรื่องที่เกิดขึ้นในลอนดอนปี 1970 ระว่างการปฏิวัติแฟชั่นสไตล์พังค์ร็อค นักต้มตุ๋นวัยรุ่นชื่อ “เอสเตลล่า” หญิงสาวผู้ชาญฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ มุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อให้กับตัวเองผ่านการออกแบบของเธอ เธอรวมกลุ่มกับคู่หูจอมโจรที่ชื่นชอบความวายป่วงของเธอ ร่วมมือกันเพื่อหาเลี้ยงชีพของพวกเขาบนถนนแห่งลอนดอน วันหนึ่ง ประกายแฟชั่นของเอสเตลล่าได้ไปเข้าตา บารอนเนส วอน เฮลล์แมน ตำนานแฟชั่นสุดชิคและเลิศหรูที่สุดในวงการ ที่รับบทโดยนักแสดง 2 รางวัลออสการ์เอ็มม่า ธอมป์สัน (“ฮาเวิร์ดส์ เอนด์”, “เซนส์แอนด์เซนซิบิลลิตี้”) แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ก่อให้เกิดเรื่องราวที่จะพลิกโฉมเอสเตลล่า ให้เปิดรับด้านมืดอันร้ายกาจของเธอและกลายเป็นเจ้าแม่แฟชั่นผู้เกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยความอาฆาต ครูเอลล่า ต้องติดตามที่ เว็บดูหนัง
รีวิว Cruella ครูเอลล่า
ส่วนสำหรับใครที่เป็นสาวกดิสนีย์คงคุ้นเคยกับแอนิเมชั่นสุดน่ารักอย่าง ‘101 Dalmatians’ ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 1961 และดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นในปี1996 ซึ่งในทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมาเรามักให้ความสำคัญกับน้องหมาดัลเมเชียนแสนน่ารักและความตลกที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวของตัวร้ายอย่าง ครูเอลล่า เดอ วิล (Cruella De Ville) และลูกสมุนทั้งสองโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังความร้ายนี้มีที่มาสุดรันทดเพียงใด ซึ่งจากช่องว่างตรงนี้ก็ทำให้ดิสนีย์ได้ไอเดียสร้างหนังไลฟ์แอ็กชั่นจากตัวร้ายในคลังแอนิเมชันตัวเองจนเกิดเป็น ‘Disney’s Cruella’ นั่นเอง
ช่วงลอนดอนยุค 70s ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านแฟชัน เอสเตลลา (เอ็มมา สโตน-Emma Stone) หญิงสาวผมสองสีผู้สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็กได้ออกลักเล็กขโมยน้อยทั่วเมืองกับสองเพื่อนซี้อย่างแจสเปอร์ (โจเอล ฟราย – Joel Fry) และฮอร์เรซ (พอล วอลเทอร์ เฮาเซอร์ Paul Walter Hauser)แม้ความฝันของเธอคือการได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็ตาม
วันนึงโชคชะตาของเธอก็ผลิกผันจนได้ร่วมงานกับบารอนเนส ฟอน เฮลแมน (เอ็มมา ธอมป์สัน – Emma Thompson) เจ้าแม่ดีไซเนอร์แห่งลอนดอนแต่แล้วงานในฝันก็พลิกผันกลายเป็นความแค้นเมื่อเธอค้นพบว่าบารอนเนสพัวพันกับการตายของคุณแม่ของเธอ เอสเตลลาต้องทิ้งความไร้เดียงสาใส่ความร้ายและอัปความเริ่ดเพื่อหวังทำลายชื่อเสียงบารอนเนสด้วยงานดีไซน์สุดปั่นป่วนและร้อนแรง
เมื่อความชาญฉลาดของบทภาพยนตร์โดยดานา ฟ็อกซ์ (Dana Fox) กับ โทนี แม็คนามารา (Tony McNamara) คือการปูตัวละครให้เอสเตลลาหรือครูเอลล่ามีความฝันที่จะเป็นดีไซน์เนอร์และการค่อย ๆ ใส่ความร้ายให้คาแรกเตอร์ของเอสเตลลาควบคู่ไปกับการขายงานดีไซน์เสื้อผ้าและโปรดักชั่นดีไซน์ที่บทได้วางหมากของเกมแก้แค้นนี้ได้อย่างน่าติดตาม
ตัวของฟ็อกซ์และแม็คนามาราก็อาศัยช่องว่างของข้อมูลที่เราไม่เคยเห็นในฉบับการ์ตูนมาถักทอเรื่องราวได้อย่างครบรสทั้งการต่อสู้เพื่อความฝันในการเป็นดีไซน์เนอร์ ภูมิหลังครอบครัวที่ชวนใจสลายไปจนถึงความสามารถในการดีไซน์ของเธอที่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในการแก้แค้นครั้งนี้ที่นอกจากจะน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว มันยังสื่อถึงยุคสมัยของแฟชั่นพังก์ร็อคที่เข้ากับความเป็นขบถในตัวเอสเตลลาได้เป็นอย่างดี
ส่วนนึงในจุดเด่นที่ทำให้คนดูไม่อาจละสายตาจากหนังได้คงหนีไม่พ้นงานคอสตูมดีไซน์เนอร์ (Costume Designer) โดย เจนนี บีแวน (Jenny Beavan) หากไอเดียของฟ็อกซ์และแม็คนามาราอยู่่ในกระดาษคนที่ทำให้มันออกมาจับต้องได้คงหนีไม่พ้นบีแวนนี่แหละ ตั้งแต่ซีนเปิดตัวครูเอลลาด้วยฉากเผาผ้าคลุมไปจนถึงแฟชั่นชุดขยะลากยาวที่ทำเอาคนดูอดกรี๊ดตามไม่ได้ทำให้เห็นเลยว่าออสการ์ปีนี้หากไม่มีชื่อบีแวนเข้าชิงมันคงต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ติดตามได้ที่ เว็บดูหนังไม่มีโฆษณา
ถึงแม้บทจะดี แม้งานสร้างจะเนี๊ยบแต่หากไม่ได้ผู้กำกับที่เข้าใจในเรื่องและตัวละครคงยากที่หนังจะออกมาดี ดังนั้นการได้เคร็ก จิลเลสพาย (Craig Gillespie) ที่เคยทำ ‘I, Tonya’ หนังนักสเก็ตน้ำแข็งสุดห้าวมาเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงจากเอสเตลลาสาวน้อยผู้ฝันจะกลายเป็นดีไซน์เนอร์สู่ครูเอลล่าขบถวงการแฟชั่นผู้คลั่งแค้น ได้อย่างเปี่ยมดราม่าสุดสะเทือนใจ ความตลกที่คนดูคุ้นเคยจากแอนิเมชันไปจนถึงความตื่นตาตื่นใจของฉากโชว์งานดีไซน์ของหนังที่เชื่อว่าหากได้ดูในโรงคงอดปรบมือและกรี๊ดตามไม่ได้อย่างแน่นอน
ส่วนอื่น ๆ นอกจากงานกำกับจิลเลสพายแล้วเราคงมองข้ามงานการแสดงไม่ได้จริง ๆ แต่ก่อนไปเบอร์ใหญ่เราขอกล่าวสดุดีรุ่นเล็กกันก่อนใครจะเชื่อว่านักแสดงเด็กอย่าง ทิพเพอร์ ไซเฟิร์ต-คลีฟแลนด์ (Tipper Seifert-Cleveland) จะถ่ายทอดความร้ายและความชาญฉลาดได้เป็นอย่างดีรวมถึงซีนดราม่าที่แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมจนเราเชื่อว่าหากไม่ได้การแสดงของคลีฟแลนด์เป็นตัวโหมโรงเราคงไม่รู้สึกสะเทือนใจกับชะตากรรมของเอสเตลลาเท่านี้ก็เป็นได้
มาถึงคราวที่เราจะกล่าวถึง “เอ็มมา” ที่เราจั่วหัวเอาไว้แล้ว แต่ทว่า ‘Disney’s Cruella’ ไม่ได้มีแค่เอ็มมาเดียวแถมยังฟาดฟันกันได้เปรี้ยวเยี่ยวราดขนาดนี้ซึ่งเราไม่ได้หมายถึงเอ็มมาไหนแต่คือ เอ็มมา สโตน (Emma Stone) กับ เอ็มมา ธอมป์สัน (Emma Thompson) นั่นเอง สำหรับสโตนเราคงไม่ต้องกล่าวอีกแล้วว่ากล้องของหนังรักนางแค่ไหนเสน่ห์ทะลุทะลวงได้ทุกซีนทุกฉากที่นางปรากฏอาจพูดได้ว่าทีมงานทุ่มสุดตัวเพื่อให้สโตนโดดเด่นที่สุด

รีวิว Cruella ครูเอลล่า

เปิดดูเมื่อคืนนี้กะไว้ว่าจะดูซัก ครึ่งชมอะไรงี้แล้วค่อยตื่นมาดูต่อ เพราะง่วงเหลือเกิน ดูไปดูมาเจอจริตเอ็ม่านี่หูตากูสว่างไสวมากกกก ดูจบเกือบตี 3 กูอยากจะกรี๊ดดังๆให้ลุงยามหน้าหมู่บ้านที่หลับตั้งแต่สี่ทุ่มได้ยิน อยากจะไปปลุกป้าต้อยข้างบ้านให้ลุกขึ้นมาดู อยากไปจะไปเรียกไอ่แบงค์ที่อยู่ท้ายหมู่บ้านกับย่ามันสองคนให้มาดูเป็นเพื่อนป้าต้อย แล้วโทรเรียกลุงพรซอย 4 มาดูด้วยอีกคน พอแค่นี้ก่อนกูเหนื่อย ความสนุกของหนังต้องยอมรับว่า แอบเสียดายที่เราไม่ได้ดูในโรงหนัง หนังสนุกตั้งแต่เริ่มเลย องค์ประกอบฉาก เพลงประกอบ เสื้อผ้า หน้าผม คือเซ็ตกันมาดีมาก โดยตัวหนังจะเล่าถึง เอสเตลล่า หญิงสาวที่สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็กจากการที่ถูก บารอนเนส แฟชั่นนิสต้า ตัวท็อปของวงการผลักตกเขา พอเธอโตขึ้น เอสเตลล่าได้เข้ามาทำงานด้านแฟชั่นกับ บารอนเนส และนี่คือเวลาที่เธอจะเอาคืนให้แม่ของเธออย่างสาสม ..
อย่างที่รู้กันว่าเรื่องนี้มันคือหนังต้นกำเนิดของวายร้ายสุดคลาสสิคของ 101 Dalmatians หนังมาในธีมลอนดอนยุค 70 บรรยากาศของหนังคือดีเลย ฉากเสื้อผ้าของเอ็มม่านี่บอกเลยว่าคาดหวังให้เต็มที่ได้เลย เพราะมาพีคทุกฉากจริงๆ ตัวละครในเรื่องนี่น่าจดจำหมดเลยนะ โดยเฉพาะสองคู่หูหัวขโมยที่เติบโตมากับเอสเตลล่า คือเรียกเสียงฮาได้ทุกฉาก ฮาแบบฮาจริงๆไม่ใช่แค่ฮาเบาๆในลำคอ อีกสิ่งที่เรียกซีนได้ทุกครั้งคือ สองหมาของตัวเอก ที่โคตรจะน่ารัก บวก กับเจ้าตูบลายจุด 3 ตัว ที่อยากจะบอกว่าให้ดูจนจบแล้วคุณจะต้องรักพวกมันแน่นอน ส่วนตัวร้ายในเรื่องได้นักแสดงคุณภาพอย่าง เอ็มม่า ธอมสัน มารับบทเป็น บารอนเนส จริตร้ายแบบดิสนีย์ๆ นี่คือแบบชนะเลิศสุด
การแสดงของเอ็มม่า สโตน นี่ต้องบอกว่ามีสิบคงให้ไปสองร้อยห้าสิบ ชอบฉากที่นางพูดคนเดียวหน้าน้ำพุนั่นจริง คือมันมีหลายอารมณ์สุดๆ แต่เอ็มม่าแสดงออกมาให้เรารับรู้ได้เลยว่านางสามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ตลอดเวลา เหมือนที่นางเป็นทั้ง เอสเตลล่า และ ครูเอลล่า ผมดูแบบเสียงซาวแทรคนะ เพราะส่วนตัวผมเป็นหนึ่งคนที่หลงใหลเสียงของเอ็มม่า สโตน พอๆกับเสียงของสกาเล็ต โจแฮนสัน ส่วนพากย์ไทยนี่เดี๋ยวไว้ดูตอนรอบสอง เรื่องนี้ยังไงก็ต้องซ้ำแหละ ยิ่งดูผ่านสตรีมได้แบบนี้ ยิ่งสบายเลย อีกอย่างที่ชอบคือ เพลงประกอบคือร็อคจัดๆ ข้อเสียของหนังตอนนี้ยังคิดไม่ออก เดี๋ยวไว้คิดออกจะมาเพิ่มให้ในคอมเม้นท์แล้วกันนะ 555
แต่ใช่ว่านางจะใช้เสน่ห์เอาตัวรอดนะครับ ตรงกันข้ามสโตนถ่ายทอดความเจ็บปวดของตัวละครได้เป็นอย่างดีโดยไม่ทิ้งความร้ายของครูเอลล่าที่เราคุ้นเคยมาตลอด ส่วนธอมป์สันอีกหนึ่งเอ็มมาของเราก็โชว์ทักษะการแสดงขั้นสูงด้วยซีนที่ต้องแสดงความซับซ้อนทางอารมณ์ทั้งอึ้งในฝีมือเอสเตลลาแต่ต้องรักษาฟอร์มไปจนถึงความภาคภูมิใจแต่ก็อยากจะกำจัดลูกศิษย์ก้นกุฏิของนางได้อย่างสนุกสนานและเปี่ยมสีสันจริง ๆ ที่สำคัญนางเริ่ดมว๊ากกกกกก (บอกแค่นี้)
ดูเลย หนังสนุกมากกกกกจริงๆ มีดูซ้ำแน่นอน ความยาวหนัง 2 ชั่วโมง 13 นาที ดูได้ทาง Disney+ HotStar มีฉากกลางเครดิตด้วยนะ อย่ากดปิดไปก่อนหละ
และหากชอบบทความนี้ อยากติดตามการรีวิวหนัง สปอยหนัง ไม่ว่าจะเป็น หนังใหม่ หรือ หนังมาแรง ทุกเรื่อง ทุกแนว ได้ที่ เว็บรีวิวหนัง