รีวิว Asakusa Kid
สวัสดีครับวันนี้ผมจะมารีวิวหนัง ญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าสร้างมาจากเรื่องจริงได้อย่างมีคุณภาพ นั้นก็คือหนังเรื่อง Asakusa Kid หรือในชื่อไทยเด็กอาซากุสะ นั่นเอง เป็นหนังของที่ถูกสร้างโดยคนญี่ปุ่น ดำเนินการสร้างโดย ค่ายดังยักษ์ใหญ่จาก Original Netflix เป็นหนังสารคดีชีวประวัติของ คิตาโนะ ทาเคชิ ซัง ดาราตลก ที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์ อย่างขั้นเทพ ได้รับการยอมรับจากคนทั้งประเทศในวงการตลกของญี่ปุ่น และหนังเรื่องนี้เองเป็นการเล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นการเดินทางสายตลกของ เขาที่ผูกพันกับอาจารย์ ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ นักแสดงตลกในโรงละครตลกสมัยก่อนที่เน้นแสดงมุกตลกใต้สะดือ ที่กลายมาเป็นความทรงจำที่ประทับใจไม่มีวันลืมได้ไปตลอดชั่วชีวิตของเขา หากอยากรับชมบทความนี้ ติดตามได้ที่ เว็บดูหนังฟรี
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานภาพยนตร์ ที่สร้างจากบันทึกความทรงจำของตัวละครที่ชื่อว่า คิตาโนะ โดยคิตาโนะ ทาเคชิ หรือ “บีท ทาเคชิ” เป็นดาวตลกที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์หลายด้านรวมถึงเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ใครๆ ในญี่ปุ่นต่างก็รู้จักดี โดยเป็นเรื่องราวก่อนเข้าสู่วงการของเขา ในฐานะลูกศิษย์ของดาวตลกชื่อดังจากย่านอาซากุสะ แต่ไม่ใช่เรื่องราวชีวประวัติทั้งหมดของเขา เป็นเพียงช่วงหนึ่งขอชีวิตที่มีเรื่องราวของความทรงจำร่วมกับอาจารย์คนนี้เท่านั้น
หนังพาเราย้อนกลับไปในยุคปี 1960 และเรื่องนี้ดำเนินเรื่องในช่วงกลางของปี 60 ในเมืองอาซากุสะซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างยากจนค้นแค้นของโตเกียว หลังจากที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยพระเอกก็เดินทางไปทำตามฝันการเป็นตลก เขาได้งานที่ฟรานซ่า ซึ่งเป็นโรงละครเปลื้องผ้าและโชว์ตลกในอาซากุสะ จากนั้นไม่นานเขาก็ได้สั่งสมประสบการณ์เก็บเลเวลจากดาวตลกในตำนานอย่างอาจารย์ผู้สั่งสมวิชาของ ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ ซึ่งเป็นอาจารย์สุดรักสุดเลิฟของ คิตาโนะ ผู้มีความฝัน คนนี้
ตัวหนังถึงแม้ผู้ชมจะไม่รู้จัก คิตาโนะ ทาเคชิ หรือ “บีท ทาเคชิ” เลยก็ยังสามารถรับชมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เพราะที่จริงเรื่องราวค่อนข้างจะเทน้ำหนักให้กับชีวิตของอาจารย์ของเขา ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ มากกว่า ซึ่งตัวเรื่องเขียนจากความทรงจำที่เขาได้ไปคลุกคลีสนิทสนมกับอาจารย์ในฐานะเด็กกดลิฟต์ ก่อนจะพยายามฝึกฝนจนอาจารย์ยอมรับ ซึ่งก็เหมือนอาจารย์มองเขาในวัยหนุ่มขาดว่าคนนี้จะกลายเป็นตลกชื่อดังในอนาคต ซึ่งการที่อาจารย์มองขาดก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีอะไรร่วมกันมากกว่าแค่ศิษย์กับอาจารย์ ในหนังแทบจะทำให้เราคิดว่าอาจารย์มองเขาเป็นเด็กน้อยหรือลูกคนหนึ่งที่ต้องพยายามช่วยอุ้มชูให้มากที่สุด
อย่างจ่ายค่าเช่าห้องให้เขาไม่ต้องนอนในห้องแต่งตัวของโรงละคร หรือการยอมทนขาดทุนกับโรงละครแห่งนี้เพื่อให้ทาเคชิมีงานทำ ซึ่งนักแสดงอย่าง โย โออิซุมิ ผู้รับบทนี้ก็แสดงได้กินใจมาก สอดรับกับ ยูยะ ยากิระ ที่แสดงเป็นทาเคชิได้อย่างลงตัวเป็นธรรมชาติเหมือนตัวจริงมาก แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะมีจุดที่ต้องแยกจากกัน แต่หนังก็ยังโฟกัสตัวอาจารย์ต่อไป แสดงให้เห็นว่าแม้ศิษย์แยกทางไปแล้ว แต่อาจารย์ก็ไม่เคยลืมลูกศิษย์คนนี้เลย ซึ่งดราม่าความสัมพันธ์นี้ทำได้ถึง และมีช่วงที่ลึกซึ้งกินใจมากพอดูเหมือนกัน ใครที่อ่อนไหวมากก็อาจจะเสียน้ำตาได้เลย
อาจารย์ได้แนะนำให้ลูกศิษย์ของเขาหัดเอาพล๊อตความคิดของนักแสดงตลกเวลาอยู่บนเวทีไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย คุณฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ คือ ตลกระดับปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงหลายคนในประเทศญี่ปุ่น คิตาโนะตั้งใจทำงานอย่างหนักหน่วงภายใต้การดูแลของฟุคามิเพื่อฝึกฝนฝีมือ และบรรลุความฝันที่จะได้เป็นนักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ อย่างไรก็ตาม เมื่อการรับชมโทรทัศน์เป็นที่นิยมมากขึ้น การแสดงตลกแบบเดิมๆในโรงละครจึงไม่ได้รับความนิยมจนสามารถเลี้ยงชีพได้ เขาจึงต้องเจำใจเลือกเส้นทางใหม่แยกทางจากอาจารย์ของตัวเอง เพื่อดำเนินการเปิดตำนานบทใหม่ของวงการตลกญี่ปุ่นยุคสมัยใหม่
แต่หนังก็ไม่ได้มีแต่ดราม่าเป็นจุดขายหลัก หนังยังจับจุดเอาเรื่องตลกตั้งแต่การแสดงในโรงละครของทั้งคู่ จนมาถึงการแยกทางออกไปเล่นมันไซ (ตลกแบบคู่ไมโครโฟน) ซึ่งทำให้เราเห็นการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของวงการตลกในญี่ปุ่น ซึ่งก็น่าจะคล้ายคลึงกันทั่วโลก ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้ก็นำเสนอมุกตลกในแต่ละยุคพร้อมกันไปด้วย อย่างอาจารย์ของทาเคชิที่ไม่เอาการเล่นตลกจากการทำหน้าตาให้ตลก
คนดูต้องเคารพแล้วหัวเราะตลกจากมุกที่ยิงออกไป หรืออย่างทาเคชิที่แรกๆก็ยิงมุกแป๊กไม่ผ่าน จนมาตอนหลังยอมก้าวข้ามเส้นตลกไปถึงเรื่องสีผิวการเหยียดแบบขำๆ ก็ทำให้เริ่มโด่งดังมีชื่อเสียง แต่ก็ไปเจอโลกของตลกในวงการทีวีที่ต้องห้ามมุกแนวนี้จนแทบไปไม่เป็น แต่เนื้อหาทั้งหมดของช่วงเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปในแบบเครียดเลยแม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยฉากยิงมุกตลกที่คนดูต้องหลุดขำตามได้จริงๆ จนกลายเป็นช่วงที่คอนทราสตัดกันกับดราม่าความสัมพันธ์เศร้าของทั้งๆ คู่แบบที่กล่าวไปด้านบน เนื้อเรื่องน่าสนใจขนาดนี้ สามารถติดตามชมได้ที่ ดูหนังฟรี
รีวิว Asakusa Kid หนังเรื่องนี้น่าดูที่จุดไหนบ้างมาดูกันเลยครับ
หนังทำได้ดีตรงที่พยายามจะซัพพล็อตเรื่องราวความรักของทาเคชิกับนักแสดงเปลื้องผ้าในโรงละครมาเกี่ยวข้องด้วย (เล่นโดย มูกิ คาโดวากิ ) ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มก่อร้างสร้างมาจากเธอเห็นเขาเป็นแค่เด็กกดลิฟต์ที่แอบเห็นเธอร้องเพลงในยามที่โรงละครปิด ซึ่งตรงนี้เป็นความฝันและความลับของเธอก่อนมาทำอาชีพนี้
และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ การเจาะลึกถึงอาชีพตลกในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากหนังโฟกัสที่อาชีพตลกในประเทศญี่ปุ่นในช่วงยุค 60 เราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของอาชีพหายากที่พวกเราคงจะไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไร ทำให้ได้รับรู้ถึงความเป็นไปของอาชีพนี้ นอกจากนี้หนังยังเล่าถึงการเปลี่ยนผ่านจากยุคเล่นตลกในโรงละครสมัยเก่า สู่การเล่นตลกไมโครโฟนบนจอทีวีหรือที่เรียกว่า “มันไซ (Manzai)” โดยนักแสดงต้องอาศัยไหวพริบอย่างมากในการแสดง ดูๆ แล้วก็คล้ายคลึงกับสมัยที่มีการเล่นตลกคาเฟ่ในประเทศไทย รวมถึงการเล่นตลกออกทีวีในยุคสมัยก่อน
การที่ตัวเขามีกำลังใจที่จะสานต่อได้แรงฝันจากทาเคชิ และพยายามเป็นตลกให้ได้ แล้วก็ยังแบ่งเวลามาสนับสนุนผลักดันความฝันการเป็นนักร้องให้เธอในโรงละครเปลื้องผ้านี้ด้วย ทำให้ก่อเกิดเป็นความประทับใจแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่มีความเข้าอกเข้าใจในกันและกัน แต่ก็ยังไม่ได้ข้ามเส้นเป็นแฟนกันสักที ซึ่งในหนังเราก็จะได้เห็นบทสรุปความรักครั้งแรกของทาเคชิไปด้วย
แต่ด้วยความที่หนังเลือกโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์กับอาจารย์ของเขาเป็นเมนเรื่องหลัก การที่หนังพยายามใส่ซัพพล็อตความรัก หรือเรื่องคู่หูเล่นตลกมันไซกับบทอื่นอย่าง นักเขียนบทให้ทาเคชิสมัยอยู่โรงละคร พวกนี้แม้มีบทในทำนองคนร่วมฝันกับตัวเอกแต่กลับไม่ได้รับการสานต่อให้คนดูรู้ว่าเขาตามฝันสำเร็จเหมือนทาเคชิหรือไม่ บทของตัวละครเหล่านี้ถูกสคิปข้ามหรือตัดหายไปเลยอย่างน่าเสียดายมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าเวลาของหนังยาวมากแล้วถึง 2 ชั่วโมงเต็ม คงไม่สามารถใส่รายละเอียดเพิ่มลงไปได้อีกไม่งั้นจะดูยืดยาวน่าเบื่อเกินไป และก็ไม่ใช่เรื่องทาเคชิโดยตรงอย่างที่หน้าหนังวางไว้ด้วย
ในเรื่องนี้ทาเคชิตัวจริงก็ยังมาร่วมเล่นด้วย โดยเปิดฉากเปิดใน ปัจจุบันที่เขาอายุมากแล้วหวนคิดกลับไป ถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการ ก่อนตัดกลับมาอีกที เอาตอนจบปิดท้ายเลยเป็นการกลับไปเยี่ยมโรงละครฟรานซ่าในปัจจุบัน แล้วก็ฉายภาพอดีตเหตุการณ์เก่าๆ กลับมาระหว่างที่เขาเดินเข้าไป ซึ่งตรงนี้บางจุดก็ช่วยตอบข้อสงสัยบางอย่างที่หนังในตอนแรกไม่ได้เล่าให้หมดด้วย นับว่าเป็นตอนจบที่ทำได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ
ดราม่าชีวประวัติจากญี่ปุ่นที่เน็ตฟลิกซ์สร้างออกมาได้อย่างดีงามมาก ด้วยเรื่องราวตลกปนเศร้าที่ลงตัวทั้งสองอย่างได้ดีตลอดเรื่อง การันตีเลยว่าผู้ชมต้องขำกับมุกตลกญีปุ่นโบราณๆ ในเรื่องได้แน่นอน แถมตามด้วยอาการน้ำตาซึมจากความประทับใจที่เรื่องนี้มอบให้ไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ้งจริงๆครับอยากจะให้มาดูหนังกันที่ เว็บดูหนังไม่มีโฆษณา
แม้จะมีแผ่วในบางช่วงบ้าง แต่ต้องยอมรับว่า หนังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างคิตาโนะและอาจารย์ได้อย่างกินใจ
จุดที่ทำได้ดีจนน่าประทับใจของเรื่องนี้คือ การสะท้อนบรรยากาศย่าน Asakusa ในยุค 60ซึ่งเป็นสถานที่เริ่มต้นชีวิตในการเดินสายงานด้านตลกของพ่อหนุ่ม คิตาโนะ หนังสร้างบรรยากาศในเมืองอาซาคุสะได้ดูสวยงาม สมจริง เพื่อบิ้วอารมณ์คนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร และจากจุดนี้หนังก็ทำได้สำเร็จ เราสามารถเห็นภาพบรรยากาศในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน จนบางทีก็อยากจะย้อนอดีตเพื่อไปชมความสวยงามนี้ด้วยตาตัวเองเลย
รวมถึง การโฟกัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ที่ทำได้ค่อนข้างลึก ถึงแม้ว่าหนังอาจจะเล่าเรื่องราวแบบยาว จึงทำให้มีช่วงที่ออกทะเล หรือฉากที่โดนรวบรัดเข้ามาบ้าง ซึ่งส่งผลให้หนังดูไม่มีความหวอหวาหรือตื่นเต้นในบางจังหวะ แต่โดยรวมแล้ว หนังสามารถเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ได้ค่อนข้างดี ทำให้เหล่าคนดูซาบซึ้งไปกับมิตรภาพระหว่างศิษย์และอาจารย์ และจุดนี้เองก็ทำให้หนังน่าประทับใจเป็นพิเศษเลย
จุดเด่นของ ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการนำเอาบันทึกความทรงจำของ ดาวตลกชื่อดังในญี่ปุ่น มาบอกเล่าเป็นชีวประวัติได้อย่างสนุกสนานและอบอุ่นหัวใจ มุกตลกจะเป็นมุกจากประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ทำให้ผู้รับชมในต่างประเทศ อย่างเรารู้สึกตลกไปด้วยได้ มีการใส่เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ที่ทำให้เราต้องน้ำตาร่วง สามารถถ่ายทอดประวัติการเปลี่ยนแปลง ในวงการตลกของญี่ปุ่น ได้เป็นอย่างดี และคิตาโนะตัวจริง ได้เข้ามาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ส่วนนักแสดงที่รับบทเป็นคิตาโนะเองก็ทำได้เหมือนตัวจริงอย่างยอดเยี่ยม แต่ส่วนของจุดด้อยก็มีเช่นเดียวกันคือ การตัดเรื่องราวตัวละครบางตัวแบบไม่มีบทสรุปให้เราทราบเลยว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง และเรื่องราวที่เล่านั้นมีเพียงบางส่วนที่จะเล่าถึงคิตาโนะ ไม่ได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบแต่อย่างใดทำให้มันมีการเล่าเรื่องราวที่รวบรัดไปบ้าง
แต่โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังสามารถสร้างความสนุกสนานและความซาบซึ้งให้กับเราได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ดี ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมเราแนะนำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมาะสำหรับการรับชมไม่น้อยเลยทีเดียว
สรุปแล้ว ง่ายๆเลยคือ Asakusa Kid เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวชีวประวัติของดาวตลกที่มีชีวิตอยู่จริงในประเทศญี่ปุ่นอย่างคิตาโนะ เขานั้นได้ถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำของเขาที่ได้เข้าไปสนิทสนมกับปรมาจารตลกในญี่ปุ่นจนทำให้เขาได้มีวันนี้ขึ้นมา เรื่องราวเส้นทางชีวิตการเป็นตลกของเขานั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายตั้งแต่ต้องนอนในห้องแต่งตัวเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า การขาดทุนของโรงละคร เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ เรื่องราวเหล่านี้หากคุณอ่อนไหวรับรองเลยว่าคุณจะต้องเสียน้ำตาให้กับความดราม่าของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน
ชื่ออังกฤษ: Asakusa Kid
ชื่อไทย: เด็กอาซากุสะ
ปีที่ออกฉาย: 2021
ก่อนที่เขาจะโจมตีอย่างมหาศาล ทาเคชิ คิตาโนะ เริ่มฝึกกับตำนานล้อเลียน ฟุคามิแห่งอาซากุสะ ไม่ว่าดาวของเขาจะขึ้น ผู้ช่วยของเขาจะลดลง Asakusa Kid เรื่องนี้จำทำให้คุณจดจำเรื่องราวของเขาได้อย่างแน่นอน
เด็กอาซากุสะ มันคือปี 1960 และ Kitano Takeshi ที่กระตือรือร้นออกจากโรงเรียนเพื่อพาตัวเองไปที่โรงละคร เขาโชคดีพอที่จะเปลี่ยนเป็นลูกบุญธรรมของนักแสดงที่ได้รับการยกย่องในญี่ปุ่น ทาเคชิได้รับการศึกษาในการจัดการการเป็นนักแสดงอย่างต่อเนื่อง ตื่นตัว หรือพักผ่อน เขาควรจะมีตัวตน โรงภาพยนตร์พร้อมๆ กันเริ่มมีความโดดเด่นน้อยลงเมื่อแต่ละคนเอนเอียงไปทางทีวี
หากชอบบทความนี้สามารถติดตาม เรื่องราว รีวิวหนัง สปอยหนัง เรื่องอื่นๆ ได้ที่ รีวิวหนังออนไลน์
ถ้าอยากดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์ ดูหนังไม่โฆษณา เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์ ดูหนังดี ดูหนังมีทุกเรื่อง